วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

๔) ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์                     ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์คือการดำเนินชีวิตเยี่ยงอริยบุคคลผู้บรรลุมรรคผล เมื่อรู้ความจริงอย่างอริยะ คิดอย่างอริยะ พูดอย่างอริยะ กระทำอย่างอริยะ มีสติรู้อย่างอริยะ และจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิอย่างอริยะ วันหนึ่งย่อมกลายเป็นอริยะ ดังนั้นถ้าเราสงสัยว่าทำไมเจริญสติแล้วสติไม่เจริญ หรือสติเจริญแต่ไม่บรรลุมรรคผลเสียที ก็สมควรใช้ข้อปฏิบัติของเหล่าอริยะเป็นเกณฑ์ในการสำรวจตรวจตรา ว่าวิธีดำเนินชีวิตของเราเข้าทางตรงหรือยัง


 การดำเนินชีวิตเยี่ยงอริยะประกอบด้วยองค์ ๘ ประการดังนี้


 ๑. รู้ความจริงอย่างอริยะ  คือรู้ว่าอะไรคือทุกข์ รู้ว่าอะไรคือเหตุแห่งทุกข์ รู้ว่าอะไรคือความดับทุกข์ และรู้ว่าการดำเนินชีวิตอย่างไรจึงดับทุกข์ได้ ผู้รู้ความจริงอย่างอริยะได้ชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ ซึ่งอาจหมายถึงสัมมาทิฏฐิระดับรับฟังแล้วจดจำ หรือสัมมาทิฏฐิระดับการตรึกนึกให้เข้าใจ ตลอดจนเกิดสัมมาทิฏฐิบริบูรณ์ด้วยการเจริญสติแล้วบรรลุมรรคผล

๒. คิดอย่างอริยะ คือคิดออกจากกาม คิดอภัยไม่พยาบาท และคิดหลีกเลี่ยงการเบียดเบียนใดๆ เพราะกาม พยาบาท และการเบียดเบียนนั้น เป็นเปลือกหนาห่อหุ้มจิตให้มืดมนอยู่ เมื่อมืดอยู่ความจริงใดๆย่อมไม่ปรากฏให้เห็น

๓. พูดอย่างอริยะ คือการเว้นจากการพูดเท็จอันเป็นเหตุให้จิตบิดเบี้ยว เว้นจากการพูดส่อเสียดอันเป็นเหตุให้จิตเร่าร้อน เว้นจากการพูดหยาบคายอันเป็นเหตุให้จิตสกปรก และเว้นจากการพูดเพ้อเจ้ออันเป็นเหตุให้จิตพร่ามัว กล่าวโดยสรุปคือการพูดไม่ดีเป็นเหตุให้ไม่อาจมองเห็นอะไรตามจริง ถ้างดเว้นเสียได้จึงค่อยเห็นตามจริงได้

๔. กระทำอย่างอริยะ คือเว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการขโมย เว้นจากการประพฤติผิดในกาม อันล้วนเป็นบาปที่พอกหนาแล้วกลายเป็นความโง่เขลา เมื่อเห็นบาปเป็นของดีย่อมได้ชื่อว่าเห็นผิดเป็นชอบ คนเราย่อมไม่อาจเห็นความจริงทั้งที่ยังเห็นผิดเป็นชอบอยู่

๕. เลี้ยงชีพอย่างอริยะ คือหากินด้วยความสุจริต ถ้าเป็นพระต้องรักษาวินัยสงฆ์และเพียรเพื่อทำมรรคผลนิพพานให้แจ้งตามกติกาการบวช ถ้าเป็นชาวบ้านต้องทำอาชีพที่ไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรม

๖. เพียรอย่างอริยะ คือตัดใจละบาปอกุศลทั้งปวงจนเหือดแห้งไปหมด ขวนขวายเพิ่มบุญกุศลทั้งหลายจนบริบูรณ์เต็มที่ เช่น มีน้ำใจสละให้ทานคนและสัตว์เพื่อทำลายความตระหนี่ เป็นต้น ไม่มัวหลงประมาทว่าเราดีแล้ว ไม่ต้องเพิ่มความดีแล้ว

๗. มีสติระลึกรู้อย่างอริยะ คือมีความรู้สึกตัวอยู่ รู้สึกถึงกาย เวทนา จิต และธรรม กำจัดความอยาก ละความเศร้าโศกเสียได้


๘. มีสมาธิตั้งมั่นอย่างอริยะ คือเป็นผู้สงัดจากกาม สงัดจากบาปอกุศล จิตตั้งรู้อยู่ในขอบเขตกายใจคงเส้นคงวา กระทั่งเกิดปีติสุขอันวิเวก แล้วพัฒนาขึ้นไปถึงการมีอุเบกขาอันเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์ จิตเหมือนปรากฏเป็นอีกภาวะหนึ่งแยกออกมาตั้งมั่นเป็นต่างหากจากกาย เป็นต่างหากจากความรู้สึกนึกคิด สว่างจ้าด้วยปัญญา มีหน้าที่อย่างเดียวคือรู้เห็น ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับกายใจใดๆ ผู้ใกล้บรรลุมรรคผลย่อมเห็นตามจริงว่า ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ทั้ง ๘ ประการควรเจริญให้มาก

เมื่อเอากายใจเป็นที่ตั้งแห่งความจริง เราจะพบว่านอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดมา นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป ทุกข์ทั้งหลายล้วนเป็นเท็จด้วยอาการเลอะเลือนไป เมื่อสงบจากทุกข์ได้เฉพาะตน จึงชื่อว่าเข้าถึงของจริงอันเป็นบรมสุข ตั้งมั่นถาวรไม่กลับกลายเป็นอื่นอีก

และแล้วเราก็ทำสำเร็จ ฮ่า ฮ่า ^^

หลังจากที่ห่างหายไปนาน ก็มัวแต่ไปเล่น facebook อยู่ ก็ได้เวลาบังเอิญกลับมาที่นี่ (พูดยังกะไม่ใช่บล็อกของตัวเอง55)
ก็พอกลับมาอ่านบทความเก่าๆที่เขียนไว้เมื่อ 18 ก.พ.54 ว้าว!
ไอ้ที่ตั้งใจไว้ สำเร็จ ด้วยแฮะ !!!!! อย่างไม่ยากเย็นเลย ก็เลยคิดว่าต้องเป็นพลังแห่งการดึงดูดแน่ๆเรย แจ๋วจิง  ^^


1.เก็บเงินให้ได้ 100,000 สำเร็จแล้ว เย้ เย้
2.คิดว่าจาไปเที่ยวอินเดีย ไปไหว้พระซะหน่อย ...สาธุ


ก็เรยจะตั้งเป้าหมายใหม่ ในปี 2555 ซะหน่อย
1.ได้ 1,000,000,000 ภายในหนึ่งปี  เว่อซะแต่มีแผนไว้แล้ว
2.ทำกิจกรรมที่อยากทำ ดังนี้ -ฝึกทำอาหาร
                                       -เล่นเปียโน
                                       -เล่นกอล์ฟ
                                       -ปั่นจักรยาน เล่นฟิตเนส
3.ไปญี่ปุ่นตอนสิ้นปี 55 ไปรับเพื่อนสุดที่ร๊ากก

อืม แค่นี้ก่อน นะจ๊ะ ขอให้ทำได้สำเร็จสมความปรารถนาทุกประการ...สาธุ

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

ฉลาดเท่ากัน แต่บั้นปลายชีวิตแตกต่างกัน

ไขความลับคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต กุญแจสำคัญคืออะไร ติดตามได้ในเนื้อหาที่จะนำมาเสนอข้างล่างนี้...

คุณเคยนึกบ้างไหมว่าในอนาคตคุณน่าจะเป็นคนที่ล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จ? แน่นอนว่าเราทุกคนต่างก็มีความฝัน แต่มีสักกี่คนที่ทำได้ดั่งที่ใจฝันไว้ มีคนจำนวนไม่น้อยที่ละทิ้งความฝันเพียงเพราะเจออุปสรรค จึงทำให้โอกาสดีๆ ในชีวิตหลุดลอยไป และนี่คือสิ่งที่ทำให้แต่ละคน มีบั้นปลายชีวิตที่แตกต่างกัน

ความแตกต่างระหว่าง คนที่ล้มเหลวและคนที่ประสบความสำเร็จคือ "แนวคิดในการใช้ชีวิต และ การเห็นในสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น" คนที่ประสบความสำเร็จมักจะเป็นคนที่มีมุมมองที่ไม่เหมือนคนทั่วไป "วิธีคิดและมุมมอง ทำให้ชีวิตของคุณประสบความสำเร็จ และแตกต่างจากคนอื่น"

สิ่งที่คุณคิดและมุมมองของคุณที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันจะเป็นตัวบ่งชี้อนาคตของคุณในภายภาคหน้า บางคน เมื่อวัยเด็กเป็นคนฉลาด เรียนรู้เร็ว มีความคล่องแคล่ว ว่องไว กล้าพูดกล้าทำ หัวสมองดีจดจำตำราได้แม่นยำ แต่ปัจจุบันเขาเป็นแค่พนักงานกินเงินเดือน ในขณะที่อีกคนก็มีลักษณะไม่แตกต่างกันมากเท่าไหร่นัก แต่กลับเป็นเศรษฐีพันล้าน

อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขามีชีวิตที่แตกต่างกันความแตกต่างระหว่างความสำเร็จและความล้มเหลวคืออะไร ความจริงแล้วสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตตัวเราเอง คือผู้กำหนด เห็นได้จากสิ่งที่กระทำในปัจจุบันจะส่งผล โดยตรงต่ออนาคต คนที่รู้จักอดออมในภายภาคหน้าก็จะมีเงินทอง ไม่ชัดเจน ส่วนบางคนมีเงินเยอะใช้ฟุ่มเฟือยในอนาคตอาจจะหมดตัวไม่เหลืออะไรเลย

วันนี้เราลองมองดูตัวเองสิว่า ปัจจุบันเราทำอะไรอยู่และในอนาคตเราจะเป็นอย่างไร เปิดใจให้กว้าง ประเมินตัวเองอย่างตรงไปตรงมา มนุษย์เราทุกคนเกิดมาก็มีอะไรไม่แตกต่างกัน (ยกเว้นคนพิการ) การที่เราจะประสบความสำเร็จในชีวิตก็ต้องเห็นโอกาสก่อนคนอื่น ต้องรู้จักคิดวางแผนชีวิต และกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน เวลาผ่านไปรวดเร็ว อย่าสัดวันประกันพรุ่ง รีบวางแผนชีวิตเสีย ตั้งแต่วันนี้เพื่ออนาคตที่ดีในวันข้างหน้า

คนที่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่มักจะมีลักษณะเด่น ดังนี้

ชอบคิด แต่ไม่ใช่การคิดในลักษณะที่เพ้อฝัน ให้คิดในสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ “มองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น” นี่คือเคล็ดลับเศรษฐีร้อยล้าน

มีทัศนคติที่ดี และเชื่อว่าสามารถเป็นไปได้ ความเชื่อจะทำให้ทุกสิ่งเป็นจริงและเป็นไปได้

ไม่ตีกรอบตัวเองให้อยู่จุดเดิม รู้จักมองโลกให้กว้างขึ้น หาสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต เพื่อโอกาสที่ดีกว่า

มีจุดมุ่งหมายชัดเจน และเดินหน้าตามแผนที่ตั้งไว้อย่างจริงจัง ไม่เห็นปัญหาเป็นเรื่องใหญ่ เพราะปัญหามีไว้ให้แก้และหากทำได้ก็คือ "เราอยู่เหนือปัญหา"

หมั่นสำรวจตัวเองอยู่เสมอ รู้จุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเอง จะทำให้เรามองเห็นจุดบกพร่องที่ทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จได้อย่างชัดเจน

มีความกระตือรือร้น หรือความมุ่งมั่นในสิ่งที่จะทำ เห็นคุณค่าและรักในงานที่ทำ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เรามีความกระตือรืนร้นที่จะทำให้สำเร็จ

บุคลิกดี ดูมีชีวิตชีวา หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ใครเห็นก็อยากคบหาสมาคมด้วย เป็นการสร้างโอกาสในสังคมให้แก่ตัวเองได้เป็นอย่างดี

มีพลังแห่งการตัดสินใจ เราต่างมีพลังมหาศาลที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวกันอยู่แล้ว โดยต้องเกิดจากการตัดสินใจก่อนที่จะมีการลงมือทำ สิ่งที่เราประสบต่างเป็นผลจากการตัดสินใจของเราเอง การเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้นกับชีวิต

พัฒนาตัวเอง ต้องทำตัวให้พร้อมสำหรับโอกาสที่จะผ่านเข้ามา เพราะโอกาสอาจไม่เกิดขึ้นได้อีก หากไม่รู้จักเตรียมตัวให้พร้อมโอกาสอาจหลุดลอยไปอย่างรวดเร็ว รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นที่อยู่รอบข้าง อาจมีทั้งความคิดเห็นในแง่บวกและลบ ซึ่งความคิดเห็น ทั้งสองลักษณะล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น บางครั้งความคิดเห็นเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจนำไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้

คิดบวก การที่จะล้มเหลวหรือประสบผลสำเร็จนั้น วัดกันตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการคิด เลือกคิดบวกเริ่มต้นคุยถึงสิ่งดีๆ เลือกรับข้อมูลที่สร้างสรรค์ ที่จะช่วยกระตุ้นหรือสร้างแรงบันดาลใจในทางที่ดี นอกจากนี้แล้ว การอยู่ในสังคมที่คิดบวก ก็จะเป็นคนที่คิดทางบวก มากกว่าคนที่คิดทางลบ

ยอมรับสิ่งใหม่ หรือการเปลี่ยนแปลง คนที่ประสบความสำเร็จมักจะไม่ "หยุดนิ่ง" มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามสถานการณ์ปัจจุบัน

รู้จักบริหารเวลา ผู้ที่ประสบความสำเร็จต้องรู้จักบริหารเวลาของตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ

"บางครั้งความคิดเห็นเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็อาจนำไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้"

แนวคิดในการใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเหมาะสม จึงเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ส่งผลให้คนคนหนึ่งประสบความสำเร็จในชีวิตได้ คำถามที่ว่านั้นปลายของชีวิตคุณจะเป็นเช่นไร คำตอบ จึงขึ้นอยู่กับแนวความคิดและมุมมองของคุณนั่นเอง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
SLIM UP

10 วิธีเซอร์ไพรส์ตัวเอง

การใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย กับกิจกรรมเดิมๆ อาจทำให้ชีวิตหยุดนิ่ง หาผม้ว่านิ่งเกินไป ลองฝึกฝนตัวเองเป็นคนใหม่ดีกว่า คอลัมน์ "Life Management" โดย "โอโตริ" นิตยสาร "ซีเคร็ต" เสนอ 10 วิธีเซอร์ไพรส์ตัวเอง ดังนี้

1.เพิ่มวันแสนพิเศษ หรือ Wonderful Day! ลง ในปฏิทิน เพื่อทำให้ชีวิตสดใส คึกคัก มีสีสัน แถมป้องกันไม่ให้เราหัวปั่นกับการงานจนละเลยความสุขส่วนตัว หรือลืมใส่ใจคนรอบข้าง เช่น วันสารภาพ วันทำอาหาร ฯลฯ

2.จัดระเบียบตู้เสื้อผ้า สำรวจเสื้อผ้าแล้วรื้อ พับ จัด เก็บเสียใหม่ ระหว่างรื้อไปจัดไปอาจจะได้จับคู่ใหม่ๆ ให้เสื้อผ้าตัวเก่าๆ

3.ทักทายคนแปลกหน้า เพื่อ ฝึกทักษะการเจรจาและการควบคุมอารมณ์ ลองปลุกใจตัวเองให้กล้าหาญ แล้วเดินเข้าไปพูดคุยกับคนที่เรารู้สึกถูกชะตา นี่จะเป็นประสบการณ์ที่ดี เพราะนอกจากจะทำให้เรามั่นใจขึ้นแล้ว ยังอาจจะได้เพื่อนใหม่แบบไม่รู้ตัว

4.หยุดแวะข้างทาง หรือเปลี่ยนเส้นทางกลับบ้าน แล้ว ลองสำรวจร้านข้างเคียง เปลี่ยนพฤติกรรมจากเป็นลูกค้าประจำร้านเดิมทุกเย็นด้วยการเป็นนักชิมสมัคร เล่นในร้านอื่น หรือลองช็อปปิ้งในที่ใหม่ๆ

5.แต่งตัวมีคอนเซ็ปต์ แทน ที่จะแต่งตัวแบบรีบเร่ง หยิบอะไรก็ได้ ลองคิดสไตล์การแต่งตัวแบบใหม่ๆ หรือมองหาแรงบันดาลใจตามหน้านิตยสาร จากนั้นจับคู่เสื้อผ้าให้เข้ากัน

6.เป็นคนรวยเพื่อน โลกทัศน์ จะกว้างขึ้นเมื่อได้รู้จักเพื่อนใหม่ จะช่วยจุดประกายให้ชีวิตของเราได้อย่างคาดไม่ถึง เหมือนอย่างเช่นนักท่องเน็ตที่เรียนรู้เรื่องราวของเพื่อนต่างชาติจากเครือ ข่ายออนไลน์ เช่น MSN-Live, hi5 หรือ Facebook

7.ลงทะเบียนเรียนในสิ่งที่ชอบ เช่น ทำขนม วาดรูป เล่นดนตรี ฝึกภาษาต่างประเทศ ฯลฯ ยามว่าง

8.อาสาพาว้าว! บำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น ทำให้รู้สึกอุ่นใจจนต้องร้องว้าว! นอกจากจะไม่เหนื่อยกายแล้ว ยังได้แรงใจกลับบ้านไปเต็มๆ

9.ให้รางวัลชีวิต สิ่ง ของบางอย่างอาจมีราคาสูง จนคิดว่าคนอย่างเราไม่มีทางซื้อได้ แต่ถ้าตั้งใจเก็บออมและมีความพยายาม ไม่ว่าสิ่งนั้นจะแพงแค่ไหน สักวันหนึ่งก็จะได้เป็นเจ้าของมันแน่นอน ลองหาของขวัญเซอร์ไพรส์ตัวเองสัก 1-2 อย่างในแต่ละปี

10.ใช้ชีวิตให้ช้าลง ลอง เปลี่ยนจากใช้ลิฟต์เป็นบันได เปลี่ยนจากการใช้รถเป็นเดิน หรือทำกับข้าวรับประทานเอง ฯลฯ การให้เวลามากขึ้นกับกิจกรรมต่างๆ ที่เราจะช่วยให้มองเห็นความสวยงามที่ซ่อนอยู่ในทุกสิ่งรอบตัว จนเราเองต้องแปลกใจ

ขอบคุณ http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=4e28d80ee1fbfdf1

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เคยสงสัยว่า เอ๊ คนที่มีบุญเนี่ยเค้าดูกันอย่างไร แล้วต้องทำไงถึงจะได้เป็นคนที่มีบุญกะเค้าบ้าง ไม่รู้ใครเคยเป็นรึเปล่านะเวลาที่เราไปวัดก็จะได้ยินว่า คนนั้น คนนี้เค้ามีบุญนะ อย่างงั้น อย่างงี้ ไอ้เราก็เอ๊ แล้วเราล่ะไม่มีบุญเหรอ แป่ว!(แอบอิจฉาเล็กๆ)

วิธีทำบุญ  การทำความดีทุกอย่างล้วนได้ผลออกมาเป็นบุญทั้งสิ้น แต่เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ และนำไปปฏิบัติเราสามารถแบ่งวิธีทำบุญออกได้ ๑๐ วิธีเรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ ได้แก่ 
    ๑.ทาน  คือ การบริจาคทรัพย์สิ่งของแก่ผู้ที่ควรให้
   
๒.ศีล  คือ การสำรวมกายวาจา ให้สงบเรียบร้อย

   
๓.ภาวนา   คือ การสวดมนต์ ทำสมาธิ อ่านหนังสือธรรม ฯลฯ

   
๔.อปจายนะ คือ การมีความเคารพอ่อนน้อมต่อผู้มีคุณธรรม

   
๕.เวยาวัจจะ คือ การช่วยเหลือขวนขวายในกิจที่ชอบ

   
๖.ปัตติทานะ คือ การอุทิศส่วนบุญแก่ผู้อื่น

   
๗.ปัตตานุโมทนา คือ การอนุโมทนาบุญที่ผู้อื่นทำ

   
๘.ธัมมัสสวนะ คือ การฟังธรรม

   
๙.ธัมมเทศนา คือ การแสดงธรรม

   
๑๐.ทิฏฐุชุกัมม์ คือ การปรับปรุงความเห็นของตนให้ถูกต้อง

   ทั้ง ๑๐ ประการนี้ สรุปลงได้เป็นบุญกิริยาวัตถุ ๓ คือ
    -
ทาน  คือ ๑,,,  เป็นการฆ่าความตระหนี่ออกจากใจ

    -
ศีล คือ ๒ เป็นการป้องกันตนไม่ให้ทำชั่ว

    -
ภาวนา คือ ๓,,,,๑๐ เป็นการฝึกตัวเองให้ฉลาดแข่งบุญแข่งวาสนาใช่ว่าแข่งไม่ได้ แต่ถ้าแข่งแล้วไซร้ต้องแข่งด้วยการทำความดี


แล้วก็อยากรู้อีกอย่างนึงว่า เค้ามีแรงบันดาลใจอะไรเหรอถึงทำให้ตั้งใจทำความดีกันซะขนาดนั้นน่ะ ....ขี้สงสัยจิงๆ (ก็คนมันสงสัยอ่ะ)

วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ปีใหม่ผ่านไป

เคยอ่านบล็อกของคนอื่นๆที่เขียนบอกว่า ปีที่ผ่านมาได้ทำอะไรไปบ้าง ทีนี้พอมามองตัวเองไม่เห็นมีอะไรเลยเนอะ
เคยลองพยายามทำอะไรๆ อยู่หลายอย่าง แต่ก็รู้สึกว่าไม่เห็นมีอะไรที่มันเป็นชิ้้นเป็นอันเลยอ่ะ มาวิเคราะห์ดูนะ เวลาส่วนใหญ่ก็หมดไปกับการลอง พยายามที่จะลดน้ำหนัก(ตั้งเเต่เด็กจนโตเลย) ก็เดี๋ยวยุบเดี๋ยวพองอยู่อย่างนี้แหละอ่ะนะ

แต่สิ่งที่ทำได้ดีและเก่งที่สุดก็คือ สวดมนต์และเก็บตังค์ มั้ง อยากเป็นคนที่เท่ๆ ชิคๆกับเขามั่งอ่ะ เวลาเห็นเค้าไปเที่ยวต่างประเทศ เค้าดูชิคๆ เท่ๆ เนอะ อยากเป็นมั่งง่ะ แล้ววิธีที่จะทำตัวเองให้เท่ที่สุด ชิค ที่สุดเค้าทำกันยังไงล่ะ?


ยังนึกไม่ออก แต่ที่แน่ๆ ปีนี้ที่อยากทำ และต้องทำให้ได้ตามเป้าคือ

1.เก็บเงินให้ได้ 100000 บาท
2.ไปเที่ยว ญี่ปุ่น หรือ อินเดีย ก่อนย้ายร้าน (around April 2012)

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า

คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า




ประวัติ คาถาพระปัจเจกะโพธิ์โปรดสัตว์ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ต.บางนมโค อ.เสนา จ.อยุธยา
คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า
คาถาพระปัจเจกะโพธิ์

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (ตั้งนะโม 3 จบ)

วิระทะโย วิระโคนายัง
วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ
มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม

คาถาพระปัจเจกะโพธิ์นี้ ว่า 3 จบ หรือ 5 จบ หรือ 7 จบ หรือ 9 จบ ก็ได้แต่ต้องสม่ำเสมอจึงจะเกิดผล


ประวัติ คาถาพระปัจเจกะโพธิ์โปรดสัตว์

พระ คาถาพระปัจเจกะโพธิ์โปรดสัตว์นี้ หลวงพ่อปาน (พระครูวิหารกิจจานุการ) วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้เรียนมาจากครูผึ้ง จังหวัดนครศรีธรรมราช (ท่านทาทานให้ขอทานครั้งละ ๑ บาท ซึ่งสมัยนั้นก๋วยเตี๋ยวข้าวแกงจานละห้าสตางค์เอง)

เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๒ หลวงพ่อปาน พร้อมด้วยคณะได้เดินทางไปทุกภาคขอประเทศไทย ทิศเหนือไปถึงเชียงตุงของพม่า ทิศตะวันออกไปสุดภาคอีสานและได้ขออนุญาตข้ามเขตไปในอินโดจีนของฝรั่งเศลถึง ประเทศญวน ทิศใต้ได้ไปถึงปีนังของอังกฤษ

พบท่านครูผึ้ง

เมื่อ ไปถึงนครศรีธรรมราช ในเย็นวันที่ได้ไปถึงนั่นเอง ขณะที่หลวงพ่อปานเข้าห้องจำวัดพักผ่อน โดยมีพระภิกษุอุปฐากกับทายกคอยเฝ้าอยู่หน้าห้องพักนั้น ประมาณเวลา ๑๗.oo น. ได้มีท่านผู้มีอายุท่านหนึ่ง รูปร่างเพรียว ท่าทางสง่า ผิวขาว นุ่งห่มผ้าม่วงสีน้ำเงินสวมเสื้อนอกราชประแตน กระดุม ห้าเม็ด ถุงเท้าขาว รองเท้าคัชชูสีดำ สวมหมวกสักหลาด ถือไม้เท้าเลี่ยมทอง ได้มาหาระอุปฐากถามว่า ‘หลวงพ่อตื่นแล้วหรือยัง?’ ก็พอดีได้ยินเสียงหลวงพ่อพูดออกมาจากห้องว่า ‘ไม่หลับหรอกแหมนอนคอยอยู่ คิดวาผิดนัดเสียแล้ว’ แล้วหลวงพ่อก็เดินออกมาจากห้องพัก เมื่อนั่งลงแล้ว ผู้เฒ่าผู้มาหาพูดว่า ‘ผมไม่ผิดนัดหรอกครับ เห็นว่าท่านเพิ่งมาถึงใหม่ๆ กำลังเหนื่อย และมีคนมาคอยต้อนรับกันมากก็เลยรอเวลาไว้ก่อน ตอนเย็นนี้คิดว่าว่างจึงเลือกเวลามา’ ขณะที่ท่านทั้งสองพูดคุยกันอยู่นั้นสร้างความสงสัยให้แก่คณะที่ได้ไปด้วยกัน เป็นอันมาก เพราะไม่เคยเห็นว่าคนทั้งสองพบกันที่ไหนเลย ทำไมจึงพูดกันถึงเรื่องนัดหมาย ขณะที่คณะเกิดสงสัยนั่นเองหลวงพ่อได้พูดว่า ‘พวกเราสงสัยหรือ? ไม่ต้องสงสัยอะไรอีกต่อไป โยมผู้เฒ่านี้ได้ทางใน ฉันพบกับโยมตั้งแต่เดินทางมาถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และได้

นัด หมายกันไว้ว่าจะมาพบกันที่นี่ ต่อไปนี้พวกเราจะพ้นความยากจนแล้ว เพราะโยมผู้นี้มีของดี’ แล้วหลวงพ่อก็พูดกับผู้เฒ่านั้นว่า โยมมีของดี ก็เอาของดีออกมาอวดพวกนี้หน่อยซิ หรือมีอะไรขัดข้อง?

ท่านผู้เฒ่าได้บอกว่า ท่านชื่อผึ้ง อายุ ๙๙ ปี

ท่านครูผึ้งเล่าประวัติพระคาถา

(มอง ดูแล้วคนในคณะที่ไปกับหลวงพ่อ อายุ ๕o เศษ เหมือนจะแก่กว่าเท่าๆกับท่าน) เมื่ออายุท่านได้ประมาณ ๔o ปี ได้มีพระธุดงค์เดินธุดงค์มารูปเดียวท่านเห็นพระรูปนั้นแล้วรู้สึกเลื่อมใส มาก จึงได้นิมนต์ให้พักอยู่เพื่อบำเพ็ญกุศล ๔ วัน ได้ปฎิบัติท่านอย่างดีเท่าที่จะทำได้ ได้เรียนกรรมฐานจากท่าน ท่านได้สอนให้เป็นอย่างดี เมื่อจะกลับท่านพูดว่า ‘โยมฉันจะลากลับ ต่อไปจะไม่ได้มีโอกาสผ่านมาอีก หากโยมอยากพบอาตมา ก็ขอให้จุดธูปอาราธนาพระ แล้วอาตมาจะมาพบทางใน’ แล้วท่านได้มองพระคาถาพระปัจเจกะโพธิ์โปรดสัตว์บทนี้ให้ พร้อมทั้งอธิบายวิธีปฎิบัติ ท่านว่าทำเพียงเท่านี้พอเลี้ยงตัวรอด เงินทองของใช้ไม่ขาดมือ ถ้าปฎิบัติเป็นกรรมฐานทำให้ถึงญาณแล้วจะร่ำรวยเป็นเศรษฐี โยมเอาพระคาถาบทนี้ภาวนาเป็นกรรมฐานเถิดนะ ไม่เกิน ๒ ปี โยมจะรวยใหญ่ เงินทองจะหลั่งไหลมาเอง พระคาถาบทนี้ของปัจเจกะพุทธเจ้า ตระกูลอาตมาได้เรียนสืบต่อกันมาทุกคน ไม่มีใครจน อย่างจนก็พอเลื้ยงตัวรอด

ให้หลวงพ่อปานเรียนพระคาถา

เมื่อ พูดจบได้มองพระคาถาให้หลวงพ่อเรียนแล้วบอกว่า ได้โปรดอย่าปิดบังพระคาถาบทนี้เลย ขอให้กรุณาแจกเป็นธรรมทานด้วย แล้วหลวงพ่อก็หลับตาเข้าสมาธิ ท่านครูผึ้งก็หลับตาเข้าสมาธิต่างคนต่างหลับตา ประมาณ ๕ นาที ก็ลืมตาขึ้นพร้อมกันต่างคนต่างยิ้ม เสียงท่านครูผึ้งพูดว่า ‘ผมดีใจด้วยที่ต่อไปเบื้องหน้าท่านจะได้ศิษย์คู่ใจ’ หลวงพ่อก็หัวเราะ

ตอบคำถามหลวงพ่อ

หลวง พ่อถามว่า ท่านอาจารย์ทำนานนักไหม จึงจะรู้ผล อาจารย์ตอบว่า ไม่นานครับ ประมาณเดือนแรกผ่านไปเริ่มรู้ผล ผลระยะแรกให้ผลในทางกินก่อน เช่นหุงข้าวตามธรรมดา คนกินในบ้านก็กินเท่าเดิม เพิ่มการใส่บาตร แต่ข้าวเหลือ
 
credit : เวปพลังจิต

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

Jodhaa Akbar

Jodhaa  Akbar เป็นหนังอินเดีย

แต่พอดูแล้วชอบมากๆ ไม่เฉพาะแต่ความอลังการของฉาก  เพลงเพราะๆ แต่อินมาก นึกไปถึงว่าตั้งแต่สมัยพุทธกาล หรือสมัยก่อนนู้น เวลาที่เค้าอยู่ในวังจริงๆมันก็คงเป็นแบบนี้จริงๆด้วยเนอะ  นึกถึงตอนที่นางเอกทำอาหารไปให้พระเอกอ่ะ แล้วต้องมีบริวารล้อมรอบแล้วก็คอยร้องเพลงไปตลอดทางจนกว่าจะถึงที่อ่ะ (สงสัยว่าอาจเป็นเพลงสรรเสริญนางเอก)ดูแล้วเว่อร์ดีอ่ะ สงสัยเค้าไม่รู้ว่าจะประกาศศักดายังไงดีก็เรยร้องเพลงสรรเสริญไปตลอดทางซะงั้น  (อันนี้สันนิษฐานเอาเอง)

เวลาที่อยู่ในวังแต่งตัวเต็มตลอดอ่ะ ใส่เพชร ใส่ทองเต็มตัวเชียว เหอะๆคงรวยมาก อิจฉาเนอะชีวิตคงสบายสุดๆอยู่ในรั้วในวัง เหอ เหอ

เรานี่แบบอินมากนะถึงขนาดว่านึกรักพระเอก (พระเจ้าอักบา)มากๆถึงขนาดไปค้นประวัติมาเลยแหละว่าเป็นยังไงๆ แล้วก็อยากจะไปอินเดียจริงๆเลยนะ สิ่งที่ยังหลงเหลือตั้งแต่สมัยพระเจ้าอักบาก็คือ หลุมฝังศพพระเจ้าอักบา คือ Tomb of Akbar the Great ตั้งอยู่ที่ Sikandra ที่เมืองอัครา น่าจะอยู่ใน Fatepur Sikri  สักวันนึงจะต้องไปเยี่ยมท่านให้ได้เลย


อันนี้คือรูปจริงๆ ขององค์อักบาและโยดา ตามประวัติบอกว่าจิงๆแล้วองค์อักบามีมเหสีถึง 3 พระองค์ เป็นฮินดู เป็นมุสลิม และเป็นคริสต์ อย่างละองค์ เจ้าหญิงโยดาเป็นมเหสีองค์แรกที่เป็นฮินดูที่องค์อักบาแต่งงานด้วย แต่ต่อมาก็คงมีแต่งงานเข้ามาอีกเรื่อยๆ ตามประวัติคือ มีภรรยา 36 คน

เรื่องย่อ
“โจดา อัคบัร์ เป็นเรื่องราวความรักของจักรพรรดิ์หนุ่มมุสลิมแห่งราชวงศ์ Mughal (โมกุล) นาม Jalaluddin Mohammad Akbar กับองค์หญิงฮินดูเมือง Rajput (ราชปุต) นาม "Jodhaa Bai" ที่ต้องมาอภิเษกสมรสทางการเมือง ในขณะที่เรื่องของศาสนาซึ่งแตกต่างกัน นำมาซึ่งความขัดแย้งของสองดินแดน”
...ศตวรรษที่ 16 พระเจ้าจาลาลุดดิน โมฮัมมัด อัคบัร์แห่งราชวงศ์มุคัล (โมกุล) ทรงขึ้นครองราช พระองค์ประสงค์จะรวบรวมอินเดียเหนือเข้าไว้ด้วยกัน ภายใต้รัฐบาลเดียวจากเมืองหลวง (Delhi) ...แม้ในพระทัยจะทรงใฝ่หาความสงบสุขและประสงค์จะได้อำนาจมาด้วยสันติวิธี ทว่าสงครามกลับเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้...
...ท่ามกลางสงครามการแย่งชิงดินแดน พระราชอำนาจและชื่อเสียงของพระเจ้าจาลาลุดดินก็แผ่ขจรไกล ทำให้หลายแคว้นหลายเมืองต่างกริ่งเกรง ซึ่งแคว้น Amer ก็เป็นหนึ่งในนั้น เมื่อกษัตริย์ Bharmal แห่ง Amer ทรงพ่ายแพ้ แต่กลับไม่ถูกพระเจ้าจาลาลุดดินประหารชีวิต ทำให้ทราบซึ้งในน้ำพระทัยของกษัตริย์จาลุดลาดิน พระองค์จึงทรงคิดวิธีเชื่อมสัมพันธ์กับราชวงศ์ Mughal ด้วยการยกพระธิดาให้อภิเษกกับกษัตริย์จาลาลุดดิน เพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยของแคว้น Amer และเพื่อเป็นการปกป้องเมืองของตัวเองจากการถูกโจมตีของพระนัดดาที่หนีไปอยู่ฝ่ายเมืองของศัตรู ท่ามกลางความคัดค้านจากเมืองใกล้เคียง แต่กษัตริย์  Bharmal ก็ยังยืนกรานความคิดนี้
แน่นอนว่าทั้งสองไม่เคยพบกัน!...แม้พระธิดาโจดาจะไม่เต็มใจแต่ก็มิอาจขัดพระบัญชา ในขณะที่เดินทางไปยังเมือง Delhi พระธิดาโจดาทรงยื่นข้อเสนอต่อพระเจ้าจาลาลุดดินสองข้อ ซึ่งคิดว่าพระเจ้าจาลาลุดดินคงจะไม่ตกลง ทว่าพระองค์กลับยินยอมรับข้อเสนอนั้นเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับเมืองราชปุต ประการแรกคือ นางขอนับถือศาสนาฮินดูต่อไป และประการสุดท้ายคือ ขอนำเอารูปสักการะของศาสนาฮินดูมาสถิตไว้ภายในวังของนางเอง
 
...ที่สุด การอภิเษกสมรสระหว่างสองแคว้นก็เกิดขึ้น ท่ามกลางปัญหาต่างๆ มากมาย การคัดค้านทั้งทางด้านศาสนาและการเมือง...
...เรื่องราวของสองพระองค์จะเป็นเช่นไร เมื่อกษัตริย์มุสลิมทรงแต่งตั้งพระธิดาที่นับถือศาสนาฮินดูเป็นราชินี? และจะเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่กษัตริย์จาลาลุดดินได้ประสพพบพักตร์ขององค์หญิงโจดาเป็นครั้งแรก?
 
กว่าที่พระองค์จะทรงเป็นที่ยอมรับของพษกนิกรชาวฮินดู สุดท้ายพระบารมีของกษัตริย์จาลาลุดดินก็ยิ่งแผ่ขยายจนได้รับสมญานามจากเหล่าประชากรของพระองค์ทั่วราชอาณาจักรว่า "อัคบัร์" (หมายถึงมหาราช) ด้วยทรงเข้มงวดและรัดกุมต่อการเก็บภาษีอากร ให้สิทธิฐานะของประชากรชาวฮินดูและมุสลิมอย่างเท่าเทียมกัน ให้ชาวฮินดูสามารถเข้ารับราชการในตำแหน่งสูงๆ ได้ทั้งทางด้านการทหารและพลเรือน เรียกได้ว่ายุคของพระเจ้าอัคบัร์มหาราชเป็นยุคใหม่และยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของศิปละอุตสาหกรรมและสถาปัตยกรรมโดยแท้
แต่การท้าทายที่ใหญ่หลวงของกษัตริย์แห่ง Mughal ไม่ใช่อยู่กับการชนะศึกสงครามหรือการรวบรวมดินแดน ทว่าอยู่ที่การเอาชนะพระทัยของพระชายาโจดา การต่อสู้กับความรักที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้ความแค้นใจและอคติอย่างแรง “โจดา อัคบัร” คือเรื่องราวความรักที่ไม่เคยมีใครกล่าวถึงไว้ในหน้าประวัติศาสตร์...สุดท้ายความรักของคนทั้งคู่จึงกลายเป็นแค่ตำนาน

เอาไว้เดี๋ยวจะมาอัพประวัติพระเจ้าอักบาโดยละเอียด แล้วก็ราชวงค์โมกุลที่ยิ่งใหญ่ รวมทั้งสถานที่ท่องเที่ยวเกี่ยวกับพระเจ้าอักบามหาราชอีกที่นะจ๊ะ

วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

จุดประสงค์การทำบล็อก

จุดประสงค์
เพื่อเป็นการถ่ายทอดเรื่องราว ความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ต่างๆ ไว้เก็บ อ่านคนเดียว หรือมีคนอื่นมาอ่านด้วย
แต่โดยหลักแล้วเอาไว้เก็บเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในหัวของตัวเอง